Xenomorph สุดยอดสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวอสูรกายแห่งอวกาศ
ชื่อดั้งเดิมของเอเลี่ยน คือ Xenomorph (ซีโนมอร์ฟ) การเรียก Alien หมายถึงสิ่งมีชีวิตจากอวกาศ อย่างเช่น Predator (พรีเดเตอร์) ก็เป็น Alien อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง แต่การเรียกเหล่านี้ ถูกนำมาใช้เพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจได้ง่าย เพื่อที่จะไม่เรียกสิ่งมีชีวิตทุกอย่างว่า Alien จึงทำให้เกิดการเรียก
Xenomorph คือ Alien
Yautja (เยาต์จา) คือ Predator
จากหลากหลายตำนานที่เล่าขาน ที่สร้างความเลวร้ายขั้นฉิบหายกับผู้สร้าง การกลายพันธ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่าการเกิดขึ้นของเผ่าพันธุ์ซีโนมอร์ฟดั้งเดิมไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากกระบวนการสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรมเชิงกลชั้นสูง เรียกว่า “Biomechanics” หรือ จักรกลชีวะ หากลองมองสังเกตดูให้ดี จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของซีโนมอร์ฟนี้ มีเค้าโครงคล้ายกับเครื่องจักรกึ่งสิ่งมีชีวิต ลักษณะผิวหนังที่ดูคล้ายเป็นท่อปล้องของเครื่องยนต์ ในตำนานผู้ที่ให้กำเนิดนวัตกรรมชนิดนี้ คือ Space Jockey
ที่มาของการสร้าง Alien
เกิดในช่วงตอนปลายยุคที่ Space Jockey รุ่งเรืองขณะเกิดความขัดแย้งในการทำสงครามกับศัตรูเผ่าต่างดาวที่มีความก้าวล้ำทางวิทยาการยิ่งใหญ่เกรียงไกรพอกัน สงครามไม่มีท่าทีจะจบลงได้โดยง่ายยืดเยื้อกินเวลายาวนานเนื่องจากมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกันทำให้ไม่มีทีท่าว่าจะแพ้ชนะ
Space Jockey จึงเลือกที่จะใช้สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิทั้งหลายทดลองพัฒนาเพื่อสร้างอาวุธ บนดาว Proteus
บทสรุปของแนวทางในการทดลองสร้างอาวุธครั้งนี้ คือ การสร้างอาวุธชีวภาพ ดำรงอยู่ได้ในทุกสภาพแวดล้อมของทุกดวงดาวในห้วงกาแล็กซี่ และจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสัญชาตญาณการล่า และ สังหารทุกชีวิตที่มันพบเจอ ทั้งยังสามารถแพร่พันธุ์ได้ง่าย
ระบบวงจรชีวิตของมด เป็นระบบต้นแบบของการทดสอบการสร้างอาวุธที่มีชีวิตในครั้งนี้ ทำให้ทีมวิจัยของ Space Jockey สร้างนางพญาขึ้นมาเป็นอันดับแรก การค้นคว้าในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ Xenomorph จึงถือกำเนิดขึ้น
Xenomorph Alien รุ่นแรก เป็นสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะการตั้งค่าโปรแกรมของ Space Jockey เรียงลำดับเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนและมีข้อแม้ตามการสั่งการของ Space Jockey ซึ่งจะเรียกว่า Prototype (โปรโตไทป์)
การตั้งค่าโปรแกรมของ Xenomorph Alien Prototype
- Xenomorph Prototype จะเกิดมาจากการวางไข่ของนางพญา ซึ่งสามารถวางไข่แพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วครั้งละหมื่นฟอง ขึ้นอยู่กับการโปรแกรมของ Space Jockey
- ไข่ของนางพญา Prototype จะมีตัวอ่อนอยู่ข้างในทั้งหมด ตัวอ่อนจะออกจากไข่ได้ต่อเมื่อได้กลิ่นฟีโรโมนของเหยื่อ และ เข้าไปฝังในร่างกายเพื่อฝัก และกลายเป็นตัวเต็มวัย จากนั้นเมื่อฝักออกจากร่างเหยื่อก็จะไม่กลายเป็นนางพญา เป็นแค่ Xenomorph ที่เติบโตเต็มวัยปกติ (ตั้งโปรแกรมไว้แค่นี้)
- โครงสร้างทางชีวะเชิงกลของนางพญาค่อนข้างมีความซับซ้อนมากกว่าปกติ ต้องเพาะเชื้อและโปรแกรมคำสั่งโดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์จาก Jockey เพื่อควบคุมจำนวนของ Xenomorph รุ่น Prototype
- Xenomorph รุ่น Prototype จะมีลักษณะตายตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม หรือ รูปร่างทางลักษณะร่างกายตามพันธุกรรมเหยื่อหลังจากฝักตัว เนื่องจากรุ่นแรกนั้นยังไม่ได้วิวัฒนาการกลายพันธุ์
- Xenomorph รุ่น Prototype จะเชื่อฟังคำสั่งและอยู่ภายใต้การควบคุมของ Space Jockey จากการโปรแกรมพันธุกรรมให้ออกมาตามรูปแบบที่ต้องการ
การวิวัฒนาการของ Xenomorph สู่จุดจบของ Space Jockey
Space Jockey ได้นำเอาไข่ของ Xenomorph ไปทิ้งไว้บนดาวของศัตรูจำนวนมากกว่าล้านใบ ไม่นานเท่าไรบนดาวแห่งนั้นเต็มไปด้วยฝูง Xenomorph ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดาวดวงนั้นทันที หลังจากชัยชนะที่ง่ายดายสิ่งที่ตามมาในบั้นปลายคือความฉิบหายของจักรวาล เพราะอาวุธที่ Space Jockey สร้างมีกลไกวิเศษเกินกว่า มันมีวิวัฒนาการ ไข่บางส่วนได้เปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้กำเนิดนางพญา เหล่า Xenomorph ส่วนใหญ่เริ่มที่จะหลุดจากการควบคุม ราชินีตนใหม่ไม่ต้องการที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวก Space Jockey ที่สำคัญเหล่า Xenomorph ที่กำเนิดจากนางพญาที่ออกมาจากไข่นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปตาม DNA ของตัวเหยื่อ
นางพญาแพร่กระจายซุกซ่อนทำรังวางไข่อย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะสร้างกองทัพ Xenomorph (ก่อการปฏิวัติ) ไล่ล่าฆ่าประชาชนชาว Jockey แบบล้างบาง ขนศพมาใช้เป็นที่ฝักไข่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า Jockey จะมีวิทยาการที่ล้ำสมัย แต่ด้วยจำนวนมหาศาลเกินกว่าจะกำจัดให้หมดในเวลาอันสั้นจึงเป็นไปไม่ได้ และช่างเป็นเรื่องโชคร้ายของ Jockey ที่อาวุธอื่นถูกทำลายไปเสียหมดในช่วงสงคราม ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของ Space Jockey คือ ยานสำรวจชื่อว่า “The Derelict Spacecraft” เพื่อลงไปเก็บตัวอย่างการวิวัฒนาการของ Xenomorph บนดาว Proteus เพื่อมาศึกษาและแก้ไข้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ว่า ยานลำสุดท้ายลำนั้นไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกต่อไปแล้ว จากเหตุการณ์ ตัวอ่อน Xenomorph หลุดออกมาภายในตัวยาน ทำการจู่โจมนักบินบังคับยานจนเสียชีวิตและเข้าไปฟักตัวภายในร่างนักบิน Jockey ทำให้ยานหลุดวงโคจรไปกระแทกดาว “LV-426” จนเสียหายหนัก ซ่อมไม่ได้จึงทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ชาว Space Jockey ทุกชีวิตบนยาน Derelict ก็เป็นอันต้องจบชีวิตลงด้วยกองทัพจักรกลชีวะมหาประลัยที่สร้างขึ้นมาเองกับมือ
เช่นเดียวกันที่ดาวบ้านเกิด เหล่า Space jockey ก็ต้องเผชิญกับจุดจบอันน่าเศร้า อาจจะเป็นผลกรรมตามสนองก็เป็นได้ Xenomorph ได้กวาดล้างทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวจนสูญพันธ์ สูญสิ้นอารยธรรม Space Jockey ที่เคยรุ่งเรือง ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรล่มสลายในช่วงพริบตา
เหลือเพียงเผ่าพันธุ์อสูรกายแห่งอวกาศที่เป็นใหญ่ครอบครองดาวของ Jockey จากนั้นไม่นาน Xenomorph กลายพันธุ์ ก็ได้ฆ่ากินเอเลี่ยนรุ่นดั้งเดิมให้สูญพันธุ์เช่นกัน
วัฏจักรวงจรชีวิตของ Xenomorph
สิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดในจักรวาล บ่งบอกได้เลยว่ามีเพียงการ ดำรงอยู่ และ ขยายพันธุ์ ไร้ซึ่งความปราณีใดๆเพราะไม่มีความรู้สึกสงสาร เห็นใจ ปราณี เนื่องจากเบื้องลึกของการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ตนเอง คือ ต้องฆ่ากวาดล้างเผ่าพันธุ์อื่นๆเท่านั้น วัฏจักรวงจรชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ได้แก่
ระยะที่ 1 Queen Alien ออกไข่
จะเรียกไข่ว่า Phenotype ภายในไข่จะมี Facehugger ผิวนอกไข่จะผลิตน้ำเมือกเพื่อให้ไข่สามารถรักษาสภาพและมีชีวิตอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งอาจอยู่ได้ยาวนานนับพันปี
ระยะที่ 2 Phenotype หา Host
เมื่อมีคลื่นความร้อนจากร่างกาย หรือ ฟีโรโมนของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใด Facehugger (อ้อมกอดแห่งรักที่หน้า) จะดีดตัวไปเกาะติดใบหน้าเหยื่อทันที มีเท้าเป็นนิ้ว 8 แฉก มีถุงลม 2 สอดท่อเข้าทางปากเหยื่อ ปล่อยน้ำเชื้อตัวอ่อน เพื่ออาศัยร่างของเหยื่อเหล่านั้นในการฝักร่างตัวโตเต็มวัย หลังจากนี้ Facehugger จะหมดประโยชน์และตายลงไป
ระยะที่ 3 Chestburster
เป็นการฝักตัวของ Xenomorph ที่จะกลายเป็นตัวเต็มวัยจากเชื้อตัวอ่อนที่ถูกฝังไว้ในโพรงอก ที่อาศัยพลังงานและสารอาหารจากร่างเหยื่อ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยใช้ระยะเวลาไม่นาน เมื่อ มีขนาดสมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว (หัวมีความแข็งแรงเหมือนเหล็กกล้าและเต็มไปด้วยเขี้ยว) จะค่อยๆลอกชั้นโพรงหน้าอกออกทีละชั้นๆ เพื่อทะลุออกมา ส่วนร่างที่เป็น Host ก็ตายลงตามระเบียบ
ระยะที่ 4 Xenomorph แบบเต็มวัยเพื่อออกล่า
เมื่ออยู่ในระยะที่ 4 หลังจากการลอกคราบออกมาจากร่างของ Host แล้ว ความแตกต่างของโอกาสที่จะได้คุณสมบัติพิเศษทางพันธุกรรมนั้น โดยหลักๆแล้วขึ้นอยู่กับว่า Host เป็นสายพันธุ์ใด โดยการแบ่งแยกย่อยได้ 3 ประเภท
รูปแบบที่ 1 Xenomorph ตัวเต็มวัยแบบมาตรฐาน
จะมีลักษณะตามแบบฉบับของ Xenomorph มาตรฐานทั่วไป เฉลี่ยความสูงตั้งแต่ 8 ถึง 12 ฟุต ( มากกว่า 213.4 ซม.) น้ำหนัก 325 ถึง 10,000 ปอนด์ มีหัวเป็นโดมรีเรียวยาว ผิวหนังที่แข็งแกร่ง ทนทานต่ออาการบาดเจ็บขั้นรุนแรงทุกชนิด เลือดสีเขียวของมันเป็นกรดโปรตีนเข้มข้นมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง มีหางทรงพลัง อาศัยอยู่ได้แม้ในพื้นที่สุญญากาศ สิ่งต่างๆเหล่านี้ Xenomorph มาตรฐานทั่วไป จะได้รับมาแต่จะแตกต่างกันตามคุณสมบัติทางพันธุกรรมที่ได้รับมาจาก Host หากร่างเหยื่อเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ตัวของ Xenomorph ก็จะได้สติปัญญาในรูปแบบของมนุษย์มาด้วย หรือ ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถว่ายน้ำได้อย่าง จระเข้ Xenomorph ก็จะสามารถว่ายน้ำได้เช่นกัน จะแบ่ง Xenomorph มาตรฐานออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ Drone, Warrior และ Praetorian
Drone
The Drone เป็น Xenomorph วรรณะพื้นฐานขั้นพื้นฐานที่สุด ที่รับใช้และภักดีต่อราชินี เรียกได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่ต่ำมากที่สุดของกลุ่ม Xenomorph ทำหน้าที่เหมือนผึ้งงานหรือมด ในการรวบรวม Host หรืออาจจะกล่าวได้ว่าหน้าที่หลักทั้งหมด คือ Scout, Stalker และ Worker
ลักษณะพื้นฐานโดยรวมเกือบที่จะคล้าย Warrior ทั้งหมด ต่างเพียงแค่หัวที่ราบเรียบและหางไม่ได้ไม่ได้เป็นหนาม ความสูงเฉลี่ย 8 ฟุต น้ำหนักเฉลี่ย 350 ปอนด์
Warrior
The Warrior (Soldier หรือ Hunter) เป็นวรรณะสำหรับการโจมตีหลักของ Xenomorphs เป็นนักสู้ที่รวดเร็วแข็งแกร่งแกร่งและดุร้าย แม้ตายWarrior ก็ยังเป็นอันตรายอย่างมาก กระแสเลือดที่มีแรงดันสูงจะทำให้มันแตกเมื่อถูกฆ่าจะทำให้แช่ศัตรูที่อยู่ใกล้เคียงด้วยกรดเลือด Warrior ลักษณะหัวจะมีรอยคลื่นเมื่อเทียบกับหัวที่ราบเรียบของโดรน แต่นอกเหนือจากนี้ก็เหมือนกันทุกประการ ความสูงเฉลี่ย 8 ฟุต น้ำหนักเฉลี่ย 375 ปอนด์
Praetorian
Praetorians มีขนาดใหญ่กว่าตัวเต็มวัย Xenomorphs ทั่วไปส่วนใหญ่เป็นสองเท่าของ Warrior แต่มีขนาดเล็กกว่า Queen ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ราชินีในรังผึ้ง (ชื่อถูกหยิบยกมาจากกองกำลังทหารยามผู้ภักดีที่จะปกป้องจักรพรรดิในกรุงโรมโบราณ) สามารถแยกแยะได้ง่ายจากส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่ที่แบนคล้ายมงกุฎด้านหลังของศีรษะ Praetorians สามารถลอกคราบเป็นราชินีได้หากไม่มีราชินีอยู่ Praetorians จะมีเลือดที่เป็นกรดเข้มข้นกว่า ความสูงเฉลี่ย 10 ฟุต น้ำหนักเฉลี่ย 4,000 ปอนด์
รูปแบบที่ 2 Xenomorph Queen
นอกเหนือจากรุ่น Prototype ที่ถูกออกแบบโดย Jockey ในตัวอ่อนราวๆ 100 ตัวจะมีเพียง 1 ตัวที่มีโอกาสโตขึ้นเป็นนางพญา ลักษณะโดยทั่วไปจะค่อนข้างเหมือนกับ Xenomorph แขนเพิ่มขึ้นเป็น 4 แขน แผงกะโหลกขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายกับไทรเซราทอป ขนาดของตัวจะใหญ่กว่า Xenomorph โดยมีขนาดประมาณ 20 – 30 ฟุต ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเต็มวัยมาตรฐานที่จะมีขนาดอยู่ที่ 8 – 12 ฟุต เท่านั้น นอกจากนี้ความพิเศษที่มีแต่นางพญา คือ การวางไข่ โดยจากปล่อยน้ำเมือกเพื่อให้เพาะไข่ครั้งละ 100 – 1,000 ฟอง สามารถผลิตไข่ได้ทุกๆ 5 นาที
Xenomorph แบบมาตรฐานคอยทำหน้าที่ปกป้องล่าเหยื่อมาไว้ในรังของนางพญาเพื่อเป็นอาหาร และ ให้ Facehugger ฝังเชื้อตัวอ่อน นอกจากนี้ยังมี Xenomorph Praetorian ที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่มี Queen มากกว่า 1 ตัว เมื่อราชินีตัวเก่าตายลง Praetorian จะขึ้นแทนตำแหน่ง (Praetorian จะไม่แย่งชิงอำนาจขึ้นเอง) ความสูงเฉลี่ย 15 ฟุต น้ำหนักเฉลี่ย 10 ตัน
รูปแบบที่ 3 Altered Xenomorph Varieties
เป็น Xenomorph ที่มีการเปลี่ยนแปลงในขั้นพิเศษ เป็นสิ่งที่มีความพิเศษอย่างหนึ่ง สำหรับการที่ Alien สายพันธ์ Xenomorph ได้รับการวิวัฒนาการ เพราะอสูรกายแห่งอวกาศรายนี้ แพร่พันธ์ด้วยการฝังเชื้อตัวอ่อนไว้ยังสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใดก็ได้ และ ก็จะได้รับคุณสมบัติทางพันธุกรรมของเหยื่อที่ทำการฝังเชื้อ แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตแบบพิเศษที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น จะเกิดการ Hybrid ขึ้น สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
Mutant Xenomorphs (การกลายพันธุ์)
doggomorph
The Runner หรือ Dog Alien (Ox Alien)คือ การฝังเชื้อตัวอ่อนในร่างของสัตว์ประเภทคลาน 4 ขา ในที่นี้เกิดจาก สุนัข ซึ่งทำให้ Xenomorph มีหุ่นผอมเพรียวและตัวเล็กกว่าได้รับคุณสมบัติทางพันธุกรรมหรือ DNA ร่างสุนัขทำให้มี ความว่องไวสูงและคลาน 4 ขาเหมือนกับสุนัข สูงประมาณ 7 ฟุต อยู่ในหมวดหมู่ Xenomorphs ที่เร็วที่สุด เป็นการกลายพันธุ์แบบ Naturally occurring mutations หรือ การกลายพันธ์ตามธรรมชาติ
Lurker
The Lurker เป็นการกลายพันธ์แบบพิเศษจาก ปกติจะกลายเป็น Drone แบบทั่วไป แต่ด้วยการ Hybrid ทำให้แข็งแกร่งยิ่งกว่า Warriors และมีความเร็วเกือบเทียบเท่า The Runner (การกลายพันธ์จาก Drone มีอยู่ 3 รูปแบบ Cornigus, Cristatus และ Cataphractus Lurkers) นิสัยของ Lurker จะแฝงตัวในความมืดรักษาระยะห่าง และ รอเวลาที่เหมาะสมในการล่าเหยื่อ เป็นการกลายพันธุ์แบบ Unnatural mutations หรือ การกลายพันธ์แบบผิดธรรมชาติ
Spitter
The Spitter เป็นที่รู้จักกันในนาม Ranger เป็นวรรณะ Xenomorph แบบนาวิกโยธิน โจมตีโดยการพ่นกรดปริมาณมากจากระยะไกลไปที่ศัตรู เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ไม่ได้ถูกดัดแปลงพันธุกรรม แต่เป็น Xenomorph กลายพันธุ์แบบ Unnatural mutations หรือ การกลายพันธ์แบบผิดธรรมชาติ
Boiler
The Boiler เป็น Xenomorph ที่มีรูปแบบการโจมตีแบบเป็นเอกลักษณ์ ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับ Xenomorph ในรูปแบบอื่นๆ แต่จะไปในระยะประชิดเพื่อฆ่าตัวตายโดยการทำลายร่างกายของมันเอง ราวกับระเบิดกรดโปรตีนความเข้มข้นสูง Boilers เป็น Xenomorph ที่ตาบอดและตอบสนองเพียงเสียงและการสั่นสะเทือนไหวเท่านั้น ระยะการระเบิดของกรดอยู่ที่ 5-10 หลา เป็นการกลายพันธุ์แบบ Unnatural mutations หรือ การกลายพันธ์แบบผิดธรรมชาติ
Raven
The Raven เป็น ที่กลายพันธ์แบบพิเศษ ลักษณะใกล้เคียงกับ Queen หางมีใบมีดเหมือนฉมวก ขนาดประมาณเดียวกับ Praetorian ส่วนที่แตกต่างกับสายพันธ์อื่นๆอย่างชัดเจน ตัวฟันไม่ใช่เงินและโลหะเหมือนกับ Xenomorph แบบทั่วไป[
King
The King เป็น Xenomorph ชีววิทยาที่ใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุด Xenomorph ที่เขย่าพื้นทุกที่ สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็ก อาวุธปืนขนาดเล็กไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลได้ ปืนขนาดกลางยิงสามารถสร้างใหม่ได้เกือบจะในทันที พลังการรักษาของ King รวดเร็วแบบน่ากลัวที่สุดลมหายใจเป็นกรด Acid ที่มีความเข้มข้นระดับสูง เรียกได้ว่าเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ มีความสูง 20 ฟุต
Hybrid Xenomorphs (การกลายพันธุ์ลูกผสม)
Predalien
The Predalien เป็นการเกิดจาก การดูดซึมของ DNA ในร่าง Yautja หรือ Predator ส่งผลให้มันได้รับคุณสมบัติและรูปลักษณ์ของ Predator เรียกได้ว่าเป็นการเกิดขึ้นที่หายากยิ่ง มีคุณสมบัติหลายอย่างที่เหมือนกันกับ Yautja มีความแข็งแกร่งและร้ายกาจที่สุดแบบ Xenomorphs เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างลงตัวกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและร้ายกาจที่สุดในจักรวาล คุณสมบัติพิเศษของ Predalien คือ สามารถแพร่พันธุ์ได้เอง นั่นแสดงว่า เป็นทั้ง Warrior ที่มีสมอง และ กล้ามเนื้อที่แข็งแรงแบบ Yautja ผิวหนังที่แข็งแกร่งแบบ Xenomorphs และ แพร่พันธุ์แบบ Queen และที่พิเศษยิ่งกว่า ฝักตัวออกมาได้คราวละหลายๆตัว เรียกได้ว่าเป็น Xenomorph วรรณะเพียงอย่างเดียวที่สร้างขึ้นในเอกภพ
Drukathi Xenomorph
Drukathi Xenomorph เป็นการเกิดจากการดูดซึม DNA ในร่าง Drukathi บนดาว LV-178 เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวโบราณที่เคยอาศัยอยู่ใน Milky Way Galaxy มีพลังมากกว่าสายพันธ์อื่น และ วิ่งได้ค่อนข้างไว สามารถจำศีลได้ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีที่สูงกว่า Yautja และ ที่สำคัญDrukathi ค่อนข้างเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีชีวภาพสูงมาก มีความต้องการจบเผ่าพันธุ์ตัวเองด้วยการผสมพันธุ์และใช้ประโยชน์จากเผ่าพันธุ์ Xenomorph
Genetically engineered Xenomorphs (Xenomorphs ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม)
Cloned Xenomorphs
The Cloned Xenomorphs เป็นสายพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงของ Xenomorph ที่สกัดมาจากโคลนของ Ellen Ripley ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีทางพันธุวิศวกรรมโดยเปลี่ยนแปลงผ่านการรวมดีเอ็นเอของมนุษย์
Newborn
มนุษย์กลายพันธุ์ลูกผสม Xenomorph พัฒนาวงจรการสืบพันธุ์ที่มีใบหน้าเหมือนมนุษย์ และ ความรู้สึก ค่อนข้างแตกต่างจาก Xenomorphs แบบมาตรฐานค่อนข้างมาก ผิวหนังคล้ายผิวเนื้อคน มีพละพลังกำลังมหาศาลและมีสัญชาตญาณโฉดโหดเหี้ยมตามแบบฉบับของ Xenomorphs
Hybrid อื่นๆที่ปรากฏใน Comic
Croc Alien
เป็น Xenomorph กลายพันธุ์จากจระเข้ มีขนาดตัวใหญ่โตมโหฬาร เมื่อ DNA ของ จระเข้ผสมกับ Xenomorph ทำให้ Croc Alien ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไร้เหตุผลในการกระทำต่างๆ ทำทุกอย่างด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ ถูกปราบลงโดยแบทแมน ปรากฏใน Comic ชุด “Batman vs Aliens”
Bracken’s Terror
เป็น Xenomorph ไฮบริดที่แปลกพิสดารที่สุด จากการฝังเชื้อลงในสิ่งมีชีวิตของดาว Bracken ที่อาศัยอยู่ในน้ำมีผิวสีน้ำเงิน ลำตัวมีขนาดใหญ่มากประมาณปลาวาฬ ปรากฏใน Comic ชุด “Aliens : Colonial Marines”
Flying Queen
เป็น Xenomorph Queen ไฮบริด พัฒนารูปร่างให้มีสีดำ เท้าคล้ายกับขวานขนาดใหญ่ และ มีกรงเล็บคล้ายนกมีปีกขนาดใหญ่พังผืดเหมือนค้างคาว ปรากฏใน Comic ชุด Aliens: Space Marines และ Aliens: Armageddon
นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ Xenomorph อีกมากมาย หากเรามองลึกลงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เพราะเทคโนโลยีของการวิวัฒนาการที่ทำให้เกิดอสูรกายแห่งอวกาศ ไม่ใช่หรือ ความอยากรู้อยากเห็น ความเห็นแก่ตัว ทั้งหมดทั้งมวลมาจากกิเลสของแต่ละเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้น และ เรื่องแบบนี้จะโทษใครได้ละ